นักวิจัยไทยคิดค้นวัคซีนแบบพ่นจมูก เชื่อช่วยแก้วิกฤต
เกือบสองปีแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคิดค้นและพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ 5 ล้านคนทั่วโลก แม้ขณะนี้จะมีวัคซีนโควิดออกมาหลายชนิดและผลิตได้จำนวนมากแล้ว แต่ในเมื่อสงครามกับโรคระบาดครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด การพัฒนาอาวุธจึงยังต้องดำเนินต่อไป
นักวิทยาศาสตร์ไทยที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่ยังไม่หยุดค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนที่จะมาปกป้องชีวิตคนจากไวรัสร้ายชนิดนี้ โดยล่าสุดโครงการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 แบบพ่นจมูกของพวกเขากำลังทำอยู่มีความคืบหน้าและให้ผลเป็นที่น่าพอใจ จนหลายคนเชื่อว่าอาจเป็น “ความหวังใหม่” และเป็นวัคซีนที่จะเข้ามา “เปลี่ยนเกมในตลาดวัคซีนโควิด-19” เลยทีเดียว
ดร. อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการของไบโอเทค ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูกอธิบายว่า ทางเดินหายใจเป็นจุดที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกาย การให้วัคซีนด้วยการพ่นที่จมูกจะทำให้เกิดแอนติบอดีตรงบริเวณทางเดินหายใจ ทำให้เชื้อไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้
ดร. อนันต์กล่าวว่าวัคซีนแบบพ่นไม่เป็นที่นิยม ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกามีการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก ขณะนี้อยู่ในการพัฒนาระยะที่ 2 ส่วนวัคซีนโควิด-19 แบบพ่นจมูกนั้น เท่าที่ทราบยังไม่เห็นมีใครใช้ ปัจจุบัน ทีมวิจัยของไบโอเทคเลือกใช้ไวรัส 2 ตัว คือ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดทั่วไปหรือ Adenovirus และไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือ Influenza virus ซึ่งมีความสามารถในการเข้าสู่ร่างกายคนทางโพรงจมูกมาดัดแปลงให้ไม่มีความสามารถในการก่อโรค และอาศัยคุณสมบัติของไวรัส 2 ตัวนี้ในการนำโปรตีนของโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกาย “รู้จัก” โควิด-19 และสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา
เนื่องจากวัคซีนแบบพ่นจมูกนี้ใช้ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นตัวนำโปรตีนของไวรัสที่ก่อโรคโควิด-19 มันจึงสามารถป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ไปด้วยในตัว นั่นหมายถึงว่าวัคซีนแบบพ่นนี้เป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ด้วยในเวลาเดียวกัน
วัคซีนแบบพ่นจมูกของไบโอเทคอยู่ขั้นตอนการขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งต้องพิจารณาข้อมูลหลายอย่างโดยเฉพาะข้อมูลด้านความปลอดภัยในการใช้งาน ขณะนี้ทีมวิจัยของไบโอเทคได้นำผลการทดลองในหนูทดลอง 30-40 ตัว ที่สรุปว่าหนูทุกตัวที่รับวัคซีนทางจมูกไม่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นขั้นตอนการขออนุมัติการใช้งานตามข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลก และ เริ่มขออนุญาต การทดลอง (ในคน) ระยะที่ 1 จะใช้เวลา 1-2 เดือน โดย 1 เดือนแรกเป็นการหาอาสาสมัคร หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ก็เก็บข้อมูลได้เลยเพราะเป็นการได้รับวัคซีนในรูปแบบของบูสเตอร์ กรณีที่มีอาสาสมัครเยอะ เราก็สามารถรวมการทดลองในระยะที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกันได้ ทำให้ย่นระยะเวลาได้อีก และนั่นก็อาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 เดือนในการรวบรวมข้อมูลไปยื่นเสนอ อย. เพื่อขออนุมัติการใช้งานได้”
อย่างไรก็ดี ถือเป็น นวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจและน่าติดตามกันต่อไปว่าจะ สามารถส่งผลทดลองที่ดี และ เป็นความหวังใหม่ของประเทศไทยได้หรือไม่
Related Post
กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ไปเลยสามสาวชาวอเมริกัน เบกาห์ คิง, อาบี โรเบิร์ทส และ มอร์แกน เทเบอร์ ซึ่งทั้งสามสาวให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ต่างประเทศ เล่าเหตุการณ์ที่จับโป๊ะแฟนหนุ่มได้
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้มีการจัดสรรเงินเยียวยาจากผลกระทบในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
เทรนด์สุขภาพ นับเป็นเรื่องราวอันดับต้นๆ ที่คนเราสนใจ และเทคโนโลยีเองก็พัฒนาไปไกล จนสามารถช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น