ชมรมหมอชนบทเสนอฉีด “แอสตร้าเซนเนก้า” หมดหน้าตัก หยุดโควิดระบาด กทม.-ปริมณฑล
วานนี้ (31 พ.ค.) เพจเฟซบุ๊ก “ชมรมแพทย์ชนบท” โพสต์ข้อความนำเสนอข้อเสนอใหม่เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายใต้หัวข้อ : ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 3 “หยุดระบาดโควิดให้ตรงจุด ถมวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าหมดหน้าตักที่กรุงเทพและปริมณฑล” โดยมีเนื้อหาใจความดังต่อไปนี้
การระบาดระลอก 3 นั้น มีการระบาดหนักที่สุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีผู้ป่วยโควิดทั้งสิ้น 100,412 คน อยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัดถึง 60,781 คน หรือคิดเป็น 60% ของทั้งประเทศ การยุติการระบาดในเมืองหลวงนั้นปัจจุบันทำได้แค่ยืนพิงเชือกอย่าให้ล้ม รอวัคซีนมาช่วย แต่เมื่อวัคซีนมาน้อย แอสตร้าเซนเนก้าไม่มาตามนัด ซิโนแวคก็ต้องกระจายทั่วประเทศ ไฟเซอร์-โมเดอร์นายังไม่แม้แต่ส่งเงินไปจองวัคซีน ซิโนฟาร์มจะมา lot ใหญ่ได้แค่ไหนยังไม่รู้ การยุติการระบาดในกรุงเทพจึงไม่เห็นอนาคต
ที่สำคัญ กรุงเทพและปริมณฑล มีระบบการสาธารณสุขที่อ่อนแอที่สุดในประเทศ ทางเลือกหนึ่งเพื่อการยุติการระบาดของโควิดระลอก 3 ด้วยข้อจำกัดที่วัคซีนมีน้อยมาก ก็คือ ต้องเลือกเป้าที่จะยิง ไม่ใช่ยิงกระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก และรัฐบาลต้องกล้าหาญเอาการเมืองออกจากวัคซีนชมรมแพทย์ชนบท จึงมีข้อเสนอใหม่สำหรับรัฐบาล ขอให้ ศบค.นำวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ทั้งหมดราว 1.8 ล้านโดส ที่ผลิตได้จากสยามไบโอไซเอนซ์ในเดือนมิถุนายนนี้ เทหมดหน้าตักถมลงที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3 จังหวัด อาทิ จัดให้กรุงเทพมหานคร 9 แสนโดส เพื่อกระจายลงในเขตที่มีการระบาด และจัดไปที่ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ จังหวัดละ 3 แสนโดส ฉีดให้เสร็จใน 1 สัปดาห์ จะช่วยลดการระบาดลงได้มาก บทเรียนจากแม่สอดพบว่า ที่นั่นได้ฉีดวัคซีนเพียง 30% ก็มี herd immunity พอที่จะไม่ระบาดใหญ่แล้ว ส่วนจะให้ถึง 70% นั้นคงยากในภาวะที่ไทยเรามีวัคซีนในมือน้อยเช่นนี้
ทำไมต้องเป็นแอสตร้า ก็เพราะวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” เกิดภูมิคุ้มกันหลังการฉีดเข็มแรกถึงมากกว่า 80% ในขณะที่วัคซีนซิโนแวคต้องรอหลังเข็ม 2 จึงจะเกิดภูมิในระดับที่ใกล้เคียงกัน” ซึ่งคืออ ใจความสำคัญคร่าวๆ ในการแนะนำการกระจายวัคซีนในอนาคต ของชมรมแพทย์ชนบท ใครที่อยากอ่านเต็มๆ ตามไปดูกันได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก “ชมรมแพทย์ชนบท”